1012931烏搭拉利省瓦踏通寺龍波通覽大師2536ㄋ通莫合金自身法相銅牌(4.2x3.1x1.3)1.JP
1012931烏搭拉利省瓦踏通寺龍波通覽大師2536ㄋ通莫合金自身法相銅牌(4.2x3.1x1.3)2.JP
1012931烏搭拉利省瓦踏通寺龍波通覽大師2536ㄋ通莫合金自身法相銅牌(4.2x3.1x1.3)3.JP
1012931烏搭拉利省瓦踏通寺龍波通覽大師2536ㄋ通莫合金自身法相銅牌(4.2x3.1x1.3)4.JP
泰北烏搭拉利省
瓦踏通寺
龍波通覽大師
(2441~2548.享年107歲)
2536ㄋ通莫合金自身法相銅牌
佛曆2536年(西元1993年)
用瓦芒刊寺龍波艮大師的古老財佛及老佛像.老佛牌.通覽大師加持的經文符片為原料熔鑄.
泰國稱這種合金為ㄋ通莫.
以龍波艮大師傳下的帕照哈帕翁經(五方佛經咒)加持.
大師2536加持2次.
第一次是3/27日
第2次是4/12~4/15
並送至成功佛本寺再次加持.
牌背面是特殊的烏龜符文印
底部有鋼印編號:165
佛牌全功能.
含鍍金防水銀殼尺寸.
高4.2公分.寬3.1公分.厚1.3公分
******************
龍波通覽大師幼時.是瓦芒刊寺龍波艮大師的義子.
跟隨龍波艮大師學習佛法.
大師習得瓦芒刊寺財佛龍波艮大師所有密法.
與龍波坤大師亦師亦友.
有神足通.
龍波坤大師曾說.
他都追不上龍波通覽大師.
人明明看在前面行腳.卻越追越遠.追不上了....
大師唸誦經咒加持佛牌時.
寺廟都會震動.跟地震一樣.
但只要停止唸經咒.地震就會停止.
再繼續唸.地又開始搖動...
因此大師所督製的佛牌.
泰國藏家號稱"地震牌"
********************
大師一代高僧.因病住院.
在醫院圓寂時.有虹光從醫院外融入大師法體.
在場人士都看到.但當醫護人員拿相機及V8拍攝此現象.
卻發現所有攝影器材全部失效.無法拍出影像.
************
以夏是大師泰文介紹.
หลวงปู่ทองดำที่ข้าพเจ้ารู้จัก
วัดท่าทอง ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์
โดย นายอรรณพ แก้วปทุมทิพย์
ในสมัยเมื่อปี พ.ศ. 2525 ผมเพิ่งเข้ารับราชการที่จังหวัดอุตรดิตถ์ใหม่ๆเรื่องพระเรื่องเจ้าก็ยังไม่ได้สนใจเท่าใดนัก เรียกได้ว่าเป็นนักเรียนหัวนอก เพราะอยู่เมืองนอกมานานจะด้วยเวรหรือกรรมอะไรก็ไม่ทราบได้ต้องมีอันให้ไปเป็นครูที่วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ ในสมัยนั้นจำได้ว่าเป็นเมืองเล็กๆยังไม่ค่อยเจริญ ความเป็นครูโสดก็มีเวลาว่างมาก ผมมักจะตะลอนเที่ยวไปมันไปเรื่อยเปื่อย ที่สนใจมากเป็นพิเศษก็คือของเก่าเรียกได้ว่าถ้าว่างต้องไปจังหวัดสุโขทัย ไปมันเกือบทุกอาทิตย์เพราะจังหวัดอยู่ติดกัน ไปดูของเก่า ซื้อของเก่า ไม่ว่าจะเป็นถ้วย ชามต่างๆ พระพุทธรูป พระกรุ โดยเฉพาะเศษสังคโลกที่บริเวณเตาเผาเมืองเก่าศรีสัชนาลัย สมัยนั้นพวกนักขุดเขาทิ้งเศษถ้วยชามเกลื่อนไปหมด เก็บมาทุกสี นั่งดูมันทุกวันจนเพื่อนๆเขาหาว่าผมมันเพี้ยน
ผมจำได้ว่าประมาณปี 2526 ผมกับเพื่อนไปเที่ยวงานวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภอเมืองประมาณ 3 กม.เป็นงานประจำปีของวัดตอนกลางคืนมีมหรสพคนเยอะมาก ตอนนั้นเป็นเวลาสัก 4 โมงเย็นกว่าๆเห็นจะได้ แดดก็ยังร้อนอยู่ ผมเดินเข้าไปบริเวณวัดพระยืนบาทยุคลซึ่งอยู่ติดกับวัดพระแท่นศิลาอาสน์กะว่าจะเข้าไปดูพระพุทธรูปเก่าสมัยเชียงแสนสักหน่อย บริเวณลานด้านหน้าวัดมีคนมุงกันหนาแน่น ใช่แล้วครับเขากำลังมีพิธีพุทธาภิเษกกัน ผมเองตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นพิธีกรรมนี้เลย ก็เลยเดินเข้าไปสอดรู้กับเขาด้วย สายตาของผมมองฝ่าแดดเข้าไปเห็นพระอยู่สองรูปนั่งอยู่บนตั่งสูง มีคนกางร่มขนาดใหญ่บังแดดอยู่ พระทั้งสองรูปนั่งหันหน้าประจันกัน ตรงกลางลานระหว่างพระทั้งสองคงจะเป็นกองวัตถุมงคล ผมยืนมองอยู่นานเหมือนกันภิกษุรูปหนึ่งรูปร่างผอมแห้งนั่งขัดสมาธิก้มหน้ามือของท่านกุมก้อนด้ายสายสิญจน์ทำสีหน้าเคร่งเครียดซึ่งผมมาเห็นรูปของท่านในภายหลังจึงรู้ว่าท่านคือหลวงพ่อ เกษม เขมโก นักบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาในสมัยนั้น อีกรูปหนึ่งนั่งสมาธิหลังงอเล็กน้อย นิ่งเหมือนก้อนหิน ครับหลวงปู่ทองดำแห่งวัดท่าทอง ตำบลวังกะพี้ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ พระที่ผมจะกล่าวถึงในตอนต่อไป
อย่างที่บอกแหละครับ การเป็นครูบ้านนอกเวลาว่างก็มากเพื่อนเขาเห็นผมหนักมาทางด้านของเก่าๆ เหล้ายาปลาปิ้งก็ไม่เอา เงินทุกบาทก็เทลงไปกับของเก่า เขาก็เลยบอกว่าถ้ามีโอกาสให้ไปหาหลวงปู่ทองดำสิ ใครได้ชานหมากของท่านนับว่าเป็นบุญยิ่งนัก ในฐานะที่เป็นคนใหม่ของจังหวัดและชักจะเริ่มบ้าพระขึ้นมาบ้างแล้วผมก็ไม่รอช้าหรอกครับ วัดท่าทองไม่ได้อยู่ในตัวอำเภอเมือง แต่อยู่ที่ตำบลวังกะพี้ เส้นทางไปถึงวัดก็ใช้เวลาสัก 15 นาทีเห็นจะได้ สมัยนั้นวัดท่าทองเป็นวัดที่สงบมีต้นยางขนาด 2-3 คนโอบเยอะแยะ โบสถ์ ศาลาการเปรียญรวมทั้งกุฏิหลวงปู่มองดูค่อนข้างเก่าและทรุดโทรม รั้วทางด้านทิศเหนือก็ยังไม่มีแต่ดูภาพรวมๆแล้วได้บรรยากาศของวัดที่เรียบง่าย ไม่อึกทึก ส่วนตัวหลวงปู่เองตอนนั้นท่านอายุ 85ปีสุขภาพยังแข็งแรง คนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพในตัวท่านมาก ท่านเป็นพระของชาวบ้านอย่างแท้จริงมีงานมีการที่ไหนนิมนต์ท่านๆไม่เคยขัด ขนาดชาวบ้านมารับท่านด้วยรถอีแต๋นท่านก็ไม่เคยบ่นหรือแสดงอาการรังเกียจ กุฏิของท่านเป็นกุฏิไม้สองชั้น ท่านอยู่บนชั้นสองเป็นกุฏิขนาดใหญ่ เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถงของกุฏิที่หลวงปู่ใช้เป็นที่รับแขกสายตาอันซอกแซกของผมก็สำรวจทุกอย่างตามปกตินิสัยของสถาปนิก ทาง ด้านซ้ายมือของห้องโถงเป็นห้องโล่งมีประตูเปิดแง้มอยู่มองเข้าไปเห็นโลงศพไม้ขนาดเขื่องตั้งอยู่ จนบัดนี้ผมเองยังไม่เคยถามท่านสักทีว่าท่านเอาโลงศพเข้าไปตั้งไว้ในห้องนั้นทำไม แต่เท่าที่ถามพระในวัดก็ตอบว่าท่านเตรียมพร้อมเอาไว้จะได้ไม่วุ่นวาย ถัดจากห้องโถงก็จะเป็นห้องนอนของท่านซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่มีสรรพสิ่งมากมายอยู่ในห้องของท่านตั้งแต่อัฐบริขาร ธูป เทียน ที่ผู้มีจิตศรัทธามอบถวายให้ท่าน ตลอดจนวัตถุมงคลที่ท่านสร้างไว้เตรียมแจกผู้มากราบท่าน อีกทั้งยังมีโอ่งน้ำมนต์ขนาดเขื่องซึ่งท่านบอกว่าเป็นน้ำมนต์เสาร์ห้าซึ่งมักจะมีญาติโยมมาขอรดขอพรมน้ำมนต์เป็นจำนวนมากท่านก็จะตักน้ำมนต์ในโอ่งมาเป็นหัวเชื้อผสมกับน้ำในถังและอาบให้ ผมจำได้ดีว่าพระองค์แรกที่ได้รับจากมือท่านเป็นพระพิมพ์สมเด็จแป้งเจิมพิมพ์เล็กและเมื่อผมไปกราบท่านอีกในครั้งต่อมาก็ได้พระแบบต่างๆกันรวมถึงชานหมากกลับมาทุกครั้ง
เกี่ยวกับแป้งเจิมนั้น เป็นที่รู้จักกันของชาวอุตรดิตถ์ว่าถ้าใครถอยรถใหม่จะต้องไปให้หลวงปู่ท่านเจิมรถให้ ฉะนั้นแป้งที่เหลือจากการเจิมจึงมีมากเรียกได้ว่าเสกแล้วเสกอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งสะสมรวมกันอยู่ในขันทองเหลือง เมื่อมีมากท่านจึงนำมาสร้างเป็นพระพิมพ์สมเด็จมีทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็กได้จำนวนไม่กี่ร้อยองค์เนื้อสีขาวอมเหลืองออกจะฟูๆไม่ค่อยแน่นตัวคล้ายๆกับพระวัดปากน้ำรุ่นแรกและปัจจุบันกลายเป็นของดีหายากไปแล้ว
ส่วนชานหมากหลวงปู่นั้น ท่านฉันหมากมาตั้งแต่ยังหนุ่มจนถึงราวปี 2536 ตอนนั้นท่านป่วยหมอที่โรงพยาบาลขอให้ท่านเลิกฉันหมากท่านก็เลยหยุดตั้งแต่นั้นมา สมัยที่ท่านฉันหมากมีคนคอยจ้องว่าท่านจะคายหมากเมื่อไหร่จะเข้าไปขอเพราะถือว่าเป็นของดีเรียกว่าชาวจังหวัดอุตรดิตถ์รู้จักชานหมากหลวงปู่มากกว่าวัตถุมงคล
ของหลวงปู่เสียอีก แม่ค้าขายหมากในตลาดเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์จะรู้เลยว่าสูตรฉันหมากของหลวงปู่เป็นอย่างไร ถ้าจะซื้อไปถวายท่าน ก็จะจัดให้โดยไม่ต้องบอกรายละเอียด
เวลาว่างตอนเย็นๆพลบค่ำ ผมมักจะไปนั่งคุยกับหลวงปู่อยู่เป็นประจำเพราะเวลานั้นญาติโยมน้อย ปกติท่านจะเป็นพระอารมณ์ดี แต่มักจะดุกับพวกเณรน้อยที่ชอบแอบทานขนม หรือไม่ชอบท่องหนังสือ ผมนั่งคุยไปก็ตำหมากไปให้ท่าน และท่านมักจะเชิญชวนให้ดื่มน้ำสมุนไพรซึ่งเป็นสูตรของท่านเองมีใบไม้อะไรก็จำไม่ได้เสียแล้วอยู่ 5 ชนิด ตากแห้งและนำมาต้ม ท่านบอกว่าเป็นยาบำรุง ผมเองเคยสังเกตบ่อยๆว่าเวลาท่านฉันหมาก หมากบางคำท่านก็จะบ้วนทิ้งลงกระโถน แต่บางคำท่านก็คายเก็บเอาไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าชานหมากที่ท่านคายทิ้งคงจะเป็นชานหมากที่ยังไม่ได้ที่ หรือยังไม่ได้ภาวนาในขณะเคี้ยว สิ่งที่ผมภูมิใจมากที่สุดก็คือเกือบทุกครั้งที่ไปคุยกับท่านพอท่านจะคายหมากท่านจะกวักมือเรียกให้มารับหมากจากท่าน หมากอุ่นๆจากปากของท่านกระทบกับอุ้งมือของผมเป็นสิ่งที่ผมยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ พอกลับถึงที่พักก็รีบเอาลงอัดในกรอบกระดาษแข็งสี่เหลี่ยมขนาดองค์พระย่อมๆพอแห้งแล้วก็แกะเก็บไว้
หลวงปู่เคยเล่าให้ฟังว่าโยมปู่ของท่านเป็นผู้มีอาคม เคยเป็นทหารไปปราบฮ่อก่อนออกรบทีไรก็ต้องบริกรรมคาถาทุกครั้ง และก็ปลอดภัยกลับมาทุกครั้ง ตัวท่านเองในสมัยเด็กๆชอบชกมวยเคยชกมวยในงานวัดบ่อยๆก่อนชกก็จะบริกรรมคาถา “แพ้ก็มีชนะก็มี” ท่านกล่าวแล้วก็หัวเราะ ตอนท่านอายุสัก 10 ขวบโยมพ่อมีโอกาสก็นำไปฝากตัวให้เป็นศิษย์หลวงปู่ทิม วัดกลาง จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่เรืองเวทย์อาคมกล้าและเป็นสหธรรมิกเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร ท่านจึงมีโอกาสติดตามอาจารย์ทิมไปหาหลวงพ่อเงินอยู่บ่อยครั้ง และขากลับหลวงพ่อเงินมักจะฝากพระให้กับพระอาจารย์ทิมอยู่บ่อยๆครั้งละเป็นจำนวนเต็มบาตร “พระอะไรก็ไม่รู้ เป็นดินสีแดงๆบ้าง ขาวๆบ้าง รูปร่างก็ไม่สวย”ท่านกล่าวเมื่อผมพยายามซัก แสดงว่าในสมัยที่หลวงพ่อเงินท่านยังมีชีวิตอยู่นอกจากจะสร้างรูปหล่อโลหะและเหรียญจอบอันเลื่องลือชื่อแล้ว ท่านยังสร้างพระพิมพ์อื่นๆอีกด้วย ผมเองเป็นคนขี้สงสัยทุกครั้งที่คุยกับท่านมักจะถามเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลของท่าน แต่ที่แปลกก็คือไม่ว่าจะถามตรงๆหรืออ้อมๆ ท่านไม่เคยตอบสักที เรียกว่าไม่เคยคุยว่าของท่านดีอย่างไรจะตอบก็เพียงว่า“เขามีบุญ เขาก็ไม่เป็นอะไรหรอก” หรือไม่ก็ยกประโยชน์ให้เป็นความบังเอิญที่รอดจากอันตรายมา แต่เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลที่ท่านแจกนั้นมันหนาหูผมเหลือเกินจนเป็นความเคยชิน เรื่องอื่นๆอาจพิสูจน์ได้ยากแต่เรื่องความเหนียวนี่สิไว้ใจได้ พิสูจน์ได้เพราะเห็นมากับตา สมัยที่ท่านสร้างเหรียญและรูปหล่อรุ่นแรกปี 2529 คนเฝ้าสวนของผมเมาแล้วซ่า ถูกอันธพาลทำร้ายตีด้วยไม้และแทงซ้ำด้วยเหล็กครอสชาร์ปสะบักสะบอมกลับมา ทีแรกเจ้าตัวเองยังคิดเลยว่าสงสัยจะต้องนอนวัดแน่ๆ เจ้าตัวเปิดพุงให้ดูเห็นเป็นรอยสามแฉกทิ่มเข้าไปตรงๆแค่ห้อเลือด บวมๆแดงๆเท่านั้น แผลที่ถูกไม้ตีก็แดงช้ำเป็นปื้นๆไม่ถึงแตก เจ้าตัวคนเฝ้าสวนขี้เมาของผมห้อยเหรียญทองแดงรุ่นแรกของหลวงปู่เพียงเหรียญเดียว แถมยังยกมือไหว้ขอเงินอีก 200 บาทบอกว่าไม่เอาแล้วเหรียญทองแดง จะขยับชั้นขึ้นไปเอาเหรียญเงินมาห้อยแทน เอากับมันสิครับ
การสร้างวัตถุมงคลของท่านนั้นเท่าที่ถามจากคนเก่าๆข้างๆวัดกล่าวว่าท่านทำมานานแล้วมีหลายรุ่นทำแล้วปลุกเสกแล้วก็แจกไปเรื่อยๆจำนวนไม่แน่นอน และไม่เคยบอกบุญเอาเงินชาวบ้านเลย รุ่นที่ท่านแจกแล้วเป็นที่ยกย่องและหวงแหนที่สุดของชาวบ้านก็คือ พระพิมพ์รุ่นแผ่นดินไหว มีทั้งพิมพ์สมเด็จพิมพ์ใหญ่หลังเรียบ พิมพ์สมเด็จพิมพ์เล็กหลังเรียบ พิมพ์สมเด็จพิมพ์เล็กหลังยันต์ห้า พิมพ์พระขุนแผนห้าเหลี่ยม พิมพ์พระพุทธชินราชห้าเหลี่ยม พิมพ์พระมารวิชัยอู่ทองพิมพ์พระรอด พิมพ์พระหลวงปู่ทวด พิมพ์พระลีลาถ้ำหีบ และพิมพ์พระสมเด็จเนื้อชานหมากล้วนๆซึ่งมีขนาดเล็กกว่าสมเด็จพิมพ์เล็กเล็กน้อย ซึ่งเริ่มสร้างเมื่อปลายปี 2512 ถือกันว่าเป็นสุดยอดวัตถุมงคลของหลวงปู่ เป็นตัวแทนแห่งองค์หลวงปู่อย่างแท้จริง ลักษณะเป็นพระเนื้อดินเผาซึ่งเอาดินมาจากใต้ฐานพระประธานวัดเก่า วัดร้างในจังหวัดอุตรดิตถ์และใกล้เคียง 9 วัด และมีส่วนผสมของเหล็กน้ำพี้จำนวนมากขนาดแม่เหล็กดูดติดองค์พระจนรู้สึกได้ องค์พระส่วนใหญ่ทาเคลือบด้วยชแล็คแดง สีเนื้อพระมีตั้งแต่สีดำเพราะอ่อนไฟไปจนถึงสีน้ำตาลและสีแดงเพราะแก่ไฟ พระ เณรในวัดช่วยกันทำเอาใส่บาตรแล้วสุมไฟเผาจนบาตรแดงท่านกล่าวว่าขณะที่ท่านปลุกเสกพระชุดนี้อยู่ในโบสถ์ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาพอดี หลังจากท่านปลุกเสกแล้วยังได้นำพระชุดนี้เข้าร่วมในพิธีมหาพุทธาภิเษกเหรียญพระยาพิชัยดาบหักรุ่นแรกของจังหวัดเมื่อปี2513 อีกด้วยก่อนนำออกแจกจ่าย และแน่นอนที่สุดของเก๊ปัจจุบันมีออกมามากจนนักเล่นรุ่นหลังขยาดกันเป็นแถว ราคาซื้อขาย ถ้าเป็นสมเด็จพิมพ์ใหญ่ถ้าสวยๆราคาอยู่หลักหมื่นครับ ส่วนสมเด็จพิมพ์เล็กหลังยันต์ห้าอยู่ในหลักหมื่นต้นๆ สมเด็จพิมพ์เล็กหลังเรียบอยู่ในหลักพันปลายๆ ส่วนพิมพ์อื่นๆพบเห็นน้อยมากเพราะสร้างน้อยราคาเลยประเมินไม่ถูกครับ
เท่าที่ผมใกล้ชิดกับท่านมานาน พูดได้เลยว่าท่านเป็นพระที่มีแต่ให้ ท่านให้จนหมดมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง แต่ก่อนๆมีคนมาขอท่านสร้างวัตถุมงคลเพื่อหาเงินกันเยอะ แต่ก็ต้องล่าถอยไปเพราะท่านกล่าวว่า“ถ้าจะทำก็ทำมาแจกสิ เขาเดือดร้อนหรือศรัทธามาหาเรา จะไปเอาเงินเขาได้อย่างไร” และท่านยังกล่าวต่อไปอีกว่า “เวลานี้ก็เหลือฉันอยู่คนเดียว ท่านบุญก็ไปแล้ว (หลวงพ่อบุญ วัดน้ำใส จ.อุตรดิตถ์) ท่านไซร้
ก็ไปแล้ว (หลวงพ่อไซร้ วัดช่องลม จ.อุตรดิตถ์) เมื่อตอนท่านบุญยังอยู่มีคนมาขอให้ท่านช่วยเสกของให้แล้วเขาก็เอาประโยชน์ไป ฉันไม่อยากเป็นอย่างนั้น” หลวงพ่อท่านก็เลยสร้างเอง แจกเอง แต่ก็มีหลายรุ่นที่ศิษย์ของท่านสร้างมาถวายโดยไม่หวังผลตอบแทน ซึ่งท่านก็เต็มใจเสกให้และแจกเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อถึงปี พ.ศ.2528 ตอนนั้นข่าวว่าทางการจะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำน่านใกล้กับวัด หากสร้างเสร็จแล้วจะมี
รถวิ่งผ่านถนนทางด้านทิศเหนือของวัดมากยิ่งขึ้น ท่านก็อยากจะสร้างรั้วให้เป็นสัดส่วน ตอนนั้นเงินของวัดก็ไม่ค่อยมี ประกอบกับท่านเองก็อยากจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้วซึ่งต้องใช้เงินมาก ทางวัดและกรรมการวัดจึงมีความคิดที่จะสร้างวัตถุมงคลเพื่อเพื่อนำเงินมาสร้างโรงเรียนและใช้ประโยชน์ของวัด ในที่สุดหลวงปู่ท่านก็อนุญาต แต่ในส่วนของพระที่แจกท่านก็แจกไปไม่ปะปนกับวัตถุมงคลที่จะจัดสร้างขึ้น ตอนนั้นผมเองปรึกษากับหลวงพี่เสริมศักดิ์(พระครูพิทักษ์สุวรรณดิตถ์)รองเจ้าอาวาสเรื่องการทำรั้ว โดยข้าพเจ้าเกณฑ์นักศึกษาเกือบร้อยคน อีกทั้งพระเณรในวัด ขุดหลุมทำแนวเสารั้ว ส่วนเหล็กโครงสร้างรั้วก็เอาไปผูกไปดัดกันที่วิทยาลัยแล้วลำเลียงมาส่งวัดมีชาวบ้านมาสมทบช่วย เดือนกว่าๆรั้วก็เสร็จเสียค่าใช้จ่ายไปไม่มากผมเองเพิ่งมารู้ในตอนนั้นว่าหลวงปู่ท่านมีความรู้ทางด้านการก่อสร้างอยู่มาก ท่านคอยแนะนำวิธีการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด พร้อมกับให้ทางวัดหุงหาอาหารมาเลี้ยงตลอด เสร็จจากงานรั้วได้ไม่นานหลวงปู่ ก็เอ่ยถึงโรงเรียนพระปริยัติธรรมซึ่งผมเองรับเป็นผู้ออกแบบให้ ถึงตอนนั้นหลวงปู่ดูท่านจะกังวลมาก มีการบอกบุญกันอย่างทั่วถึง ในขณะนั้นวัตถุมงคลรุ่นแรกสร้างเสร็จพอดีประกอบด้วย รูปเหมือนหล่อบูชาขนาด 5 และ 9 นิ้ว เหรียญและรูปหล่อขนาดห้อยคอ ซึ่งหลวงปู่ท่านปลุกเสกเดี่ยวตลอดไตรมาสในปี 2529 ช่วงที่ท่านปลุกเสกนั้นสังเกตว่าท่านดูเครียดมากเป็นพิเศษ พระอาจารย์ท้วมซึ่งเป็นพระเลขาของหลวงพ่อสมัยนั้นยังกล่าวว่า “สงสัยหลวงพ่อท่านจะตั้งใจเป็นพิเศษกระมังกลัวว่าของจะออกไปไม่ดี” ผมมานั่งนึกดูทีหลังแล้วเปรียบเทียบเทียบกับวัตถุมงคลรุ่นอื่นๆของท่านแล้วผมว่ารุ่นแรกของท่านนี่แหละสุดยอดจริงๆ ตั้งใจจริงๆ วัตถุมงคลรุ่นนี้จำหน่ายหมดในเวลาต่อมาทีแรกก็หวั่นใจว่าจะจำหน่ายไม่หมดโดยเฉพาะเนื้อทองคำ หลวงพี่เสริมศักดิ์ถึงกับกล่าวกับผมว่า “อาตมาคิดพลาดไม่น่าจะทำเนื้อทองคำมากเลย” ทั้งๆที่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้มากมายอะไรเลยเพียงพิมพ์ละ 20 กว่าองค์เท่านั้น และขอโทษทีครับปัจจุบันนี้ผมเคยขอซื้อรูปหล่อขนาดห้อยคอเนื้อทองคำจากคนที่รู้จักกันในราคาหลักแสนบาทเขายังไม่ยอมขายเลยครับ ผมเองยังเสียดายที่ไม่ได้บูชาไว้ในตอนนั้น
หลังจากปี พ.ศ. 2533 ผมย้ายกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯก่อนไปก็เข้าไปกราบลาท่านสนทนากันอยู่นาน ก่อนลากลับท่านเดินเข้าไปในห้องนอนค้นกุกกักอยู่พักใหญ่กลับออกมาพร้อมกับพระพิมพ์สมเด็จรุ่นแผ่นดินไหวพิมพ์เล็กรุ่นแรก ท่านพนมมือภาวนาให้อยู่ครู่หนึ่งเรียกให้ไปรับ ท่านให้มา 4 องค์ เป็นพิมพ์หลังเรียบ 2 องค์ พิมพ์
หลังยันต์ห้า 2 องค์ ผมเองดีใจสุดขีดเพราะไม่เคยคิดว่าจะได้รับพระพิมพ์นี้จากท่านเพราะเคยถามท่านถึงพระพิมพ์นี้ท่านบอกหมดไปแล้วแต่เมื่อทำความสะอาดห้องนอนเมื่อต้นปี 2533 ได้พบอยู่จำนวนหนึ่งไม่มากนักเป็นพิมพ์เล็กทั้งหมดแล้วท่านก็แจกต่อมาจนหมด เมื่อมาอยู่กรุงเทพฯ เพื่อนๆต่างจังหวัดมักจะแวะมาเยี่ยมอยู่บ่อยๆ เพื่อนผมคนหนึ่งแกเป็นอาจารย์อยู่วิทยาลัยเทคนิคลำพูนนานๆเจอกันครั้งแกชอบจับพลังพระ อ้ายผมเองไม่ถนัดทางนี้และไม่ได้สนใจมาก่อนมีคนชอบเอาพระมาให้แกจับเยอะ เพื่อนผมแกบอกว่าคุณพระมีอยู่สามลักษณะคือ เมตตา บารมี และแคล้วคลาด โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อจับแล้วจะมีคุณสมบัติโดดเด่นออกมาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แกบอกว่ามีน้อยมากที่จะโดดเด่นพร้อมกันถึงสามลักษณะในพระองค์เดียวเท่าที่พบมาก็มี พระตระกูลสมเด็จของสมเด็จโตวัดระฆัง เหรียญพระนเรศวรหลังรูปช้างออกศึกปี 2513 ออกที่วัดป่าเลย์ไลยก์ จะมีอย่างอื่นอีกหรือเปล่าจำไม่ได้แล้ว และที่น่าทึ่งก็คือพระของหลวงปู่ทองดำก็มีสามคุณครับ ตอนที่ให้จับเป็นพระพิมพ์สมเด็จรุ่นแผ่นดินไหวพิมพ์ใหญ่รุ่นแรกซึ่งพระอาจารย์ท้วมให้มาตอนที่จะกลับกรุงเทพฯซึ่งผมห้อยเดี่ยวอยู่ ซึ่งจริงๆแล้วจะมีกี่คุณผมเองก็ไม่ได้สนใจเท่าใดเอาแค่ว่าเป็นของหลวงปู่ก็พอแล้ว
หลังจากปี พ.ศ. 2533 ชื่อเสียงของหลวงปู่เริ่มเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในระดับประเทศ วัตถุมงคลรุ่นหลังๆซึ่งบรรดาศิษย์ได้มีโอกาสสร้างถวายหาปัจจัยเริ่มมีมากขึ้น ท่านเองก็อนุญาตให้ทำได้เรียกได้ว่าไม่ปิดกั้นตนเองเหมือนสมัยก่อน ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งท่านคงต้องการปัจจัยมาบำรุงวัดและสร้างศาสนสถาน ทุกครั้งที่มีโอกาสไปเยี่ยมท่านๆมักจะกล่าวเป็นเชิงกังวลในเรื่องของอาคารที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จทำให้ผมพลอยกังวลไปกับท่านด้วย เรียกได้ว่าทุกครั้งที่มีโอกาสไปกราบท่านต้องหาปัจจัยส่วนตัวไปถวายท่านอยู่เสมอ ผมเองยอมรับว่าชื่อเสียงของท่านมีเพิ่มมากขึ้นเพราะวัตถุ
มงคลของท่านได้แพร่หลายออกไป แต่สิ่งหลักที่เป็นฐานเกื้อหนุนท่านอย่างแท้จริงก็เพราะท่านเป็นพระสุปฏิปัณโณที่กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจท่านผ่านการสะสมบุญบารมีและวิปัสสนาสมาธิมานานหลายทศวรรษแม้แต่หลวงพ่อเกษม เขมโก นักบุญแห่งลานนายังเคยกล่าวถึงหลวงปู่ทองดำกับญาติโยมจากอุตรดิตถ์ที่เข้าเยี่ยมท่านที่สุสานไตรลักษณ์จ.ลำปางเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 ว่า “พวกเธอมาจากอุตรดิตถ์รึไม่ต้องมาหาอาตมาให้เสียเวลาหรอก ไปหาพระกินหมากนั่นแหละเก่งกว่าฉันอีก” หรือแม้แต่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ ยังเคยเอ่ยกับคณะกรรมการสร้างพระเมื่อครั้งมานั่งปรกพระกริ่งรุ่น 2 พระกริ่ง ทอง-คูณ เมื่อปี พ.ศ. 2537 ว่า “กูนั่งอธิษฐานจิตปลุกเสกร่วมกับ
หลวงปู่ทองดำแค่ 5 นาที พลังจิตของท่านไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ กูตามไม่ทันดอก” ครับ แสดงว่าท่านไม่ธรรมดาจริงๆ
เกี่ยวกับอายุของหลวงปู่ ถ้าผู้ที่สะสมวัตถุมงคลของหลวงปู่มาตั้งแต่ต้นอาจสงสัยเล็กน้อยว่าท่านอายุเท่าไหร่กันแน่ เพราะในเหรียญรุ่นแรกเขียนว่า อายุ 85 ปี พ.ศ. 2529 นั่นหมายความว่าท่านเกิด พ.ศ. 2444 แต่ในวัตถุมงคลกริ่งรุ่นสาม “ทองดำ 99” สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2538 เพื่อฉลองวันเกิดท่านในปี พ.ศ. 2539 กล่าวว่าอายุของท่านคือ 99 ปี นั่นหมายความว่าท่านเกิด พ.ศ. 2440 ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน แต่ที่บันทึกไว้ในหนังสือเขียนตรงกันทุกฝ่ายคือ ท่านเกิดวันพุธ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 แต่ พ.ศ.ไม่ตรงกัน ผมได้ตรวจสอบจากปฏิทินโหราศาสตร์ของผมแล้วปรากฏว่า ท่านเกิดวันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2441 ตรงกับวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 ปีจอครับ
หลังจากปี พ.ศ. 2535 หลวงปู่ท่านเริ่มมีสุขภาพไม่แข็งแรงตามสภาพของสังขารที่อายุตั้ง 94 ปีแล้ว ท่านต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาลอุตรดิตถ์อยู่บ่อยๆ โดยที่ท่านก็ไม่ได้เต็มใจไป แต่ท่านไม่อยากขัดใจลูกศิษย์ บรรดาลูกศิษย์ก็หวังดีจัดหาเตียงพยาบาล ทีมหมอเตรียมห้องนอนให้ท่านใหม่ที่ศาลาเจริญธรรมเพื่อให้ท่านสบายขึ้นไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลบ่อยๆ ระยะหลังผมเองมีโอกาสไปกราบท่านไม่บ่อยนัก แต่เท่าที่สังเกตดูถึงสังขารท่านจะเสื่อม แต่จิตใจที่แท้จริงของท่านยังคงดีอยู่เหมือนกับท่านสามารถแยกร่างกายกับจิตใจออกจากกันได้ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2548 หลวงปู่ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ด้วยโรคชรา และเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.
2548 เวลา 16.00 น.ท่านหยุดหายใจไปกว่า 2 ชั่วโมง คณะแพทย์ได้พยายามอย่างสุดความสามารถ ลูกศิษย์ทั้งหลายต่างหมดหวังคิดว่าท่านคงจะมรณภาพแล้ว แต่เหมือนมีปาฏิหาริย์ ท่านฟื้นขึ้นมาได้ครับยังความดีใจอย่างที่สุดของบรรดาลูกศิษย์ คณะแพทย์มีความเห็นให้ส่งตัวหลวงปู่ไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม
พ.ศ. 2548 โดยมีพระปลัดทองแดง ตปสีโล ติดตามไปดูแลอย่างใกล้ชิดจนในที่สุดสังขารย่อมเป็นไปตามกรรม หลวงปู่ที่ผมเคารพรักสุดชีวิต ท่านได้มรณภาพอย่างสงบที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2548 เวลา 21.19 น.ด้วยภาวะโรคไตเสื่อมและติดเชื้อทางเดินหายใจ สิริรวมอายุได้ 107 ปี 5 เดือน 20 วัน พรรษาที่ 86 เหลือไว้แต่ความดี และวัตถุมงคลให้ชนรุ่นหลังได้กราบไหว้และระลึกถึงครับ
เกี่ยวกับปาฏิหาริย์หลังจากท่านมรณภาพ พระปลัดทองแดงได้เล่าว่า ขณะที่พยาบาลกำลังตกแต่งศพท่านซึ่งก็มีลูกศิษย์กว่า 10 คนร่วมอยู่ในห้องด้วย ได้มีลำแสงสีขาวสว่างพุ่งเข้ามายังเตียงที่วางร่างท่าน หลายคนพยายามที่จะถ่ายภาพและวีดิโอ แต่ไม่ติดครับ ทุกคนลงความเห็นว่าคงเป็นบุญญาธิการของท่านจึงมีเทวดามารับดวงวิญญาณของท่านไปสู่สวรรค์นภาลัย
ถ้าหากท่านมีโอกาสขึ้นไปทางเหนือและพอมีเวลา อยากที่จะให้ท่านหาโอกาสแวะเข้าไปที่วัดท่าทอง ไปกราบศพท่านสักครั้งก็จะถือว่าเป็นมงคลของชีวิตครับ
75-10329-31901040